วันนี้เราก็มาพบกับขนมไทยๆอีกชนิดหนึ่งนะครับที่ชื่อว่าขนมครกจะมีความเป็นมาอย่างไรมีความโบราณขนาดไหนและทำไมถึงชื่อขนมครกเราเข้ามาดูกันเลยนะครับ
ขนมครก
ขนมครก เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งน้ำตาลและกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เวลาจะรับประทานต้องแคะออกมาเป็นแผ่นวงกลม แล้วมักวางประกบกันตอนรับประทาน เป็นขนมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ
อาหารที่คล้ายกันนี้ยังพบในพม่า (เรียกว่า โมก หลีน-มะย้า แปลว่า ขนมผัว-เมีย), ลาว (เรียกว่า ขนมคก)[1], บังคลาเทศ, อินเดียใต้ (เรียกว่า ปัดดูหรือปานิยาราม) และอินโดนีเซีย (เรียกว่า เซอราบี)
ขนมครก
ขนมครกปรุงในกระทะหลุม
ประเภทของหวาน
แหล่งกำเนิดประเทศไทย
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชาติที่มีอาหารประจำชาติที่เกี่ยวข้อง
อาหารไทย
จานอื่นที่คล้ายกัน
บั๊ญข็อต, โมก หลีน-มะย้า, ทาโกยากิ, เซอราบี
สื่อ: ขนมครก
ประวัติมีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา[2] เข้าใจว่าจะเป็นแบบง่าย ๆ ไม่ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเหมือนอย่างปัจจุบัน กล่าวคือยังทำตามหลักขนมไทยโดยใช้ข้าวโม่ให้เป็นแป้ง แล้วนำไปผสมน้ำตาลกับมะพร้าว มีหลักฐานการทำเตาขนมครกบริเวณชุมชนบ้านหม้อย่านทุ่งขวัญด้านตะวันตกของคลองสระบัวในกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นแหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาปรากฏใน คำให้การขุนหลวงหาวัด ว่า :-
บ้านหม้อ ปั้นหม้อข้าวหม้อแกงใหญ่เล็ก และกระทะเตาขนมครก ขนมเบื้อง
ขนมครกยังปรากฏในวรรณคดีไทย เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ:-
๏ ลาวทำขนมเบื้องผิดเมืองไทย แผ่นผ้อยมันกะไรดังต้มกบ
แซะม้วนเข้ามาเท่าขาทบ พลายชุมพลดิ้นหรบหัวร่อไป
ฝ่ายนางศรีมาลาชายตาดู ทั้งข้าไทยิ้มอยู่ไม่นิ่งได้
อีไหมร้องว้ายข้อยอายใจ ลืมไปคิดว่าทำขนมครก
— ขุนช้างขุนแผน ตอนนางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์
ขนมครกปรากฏในโคลงล้านนา (คร่าวซอ) เรื่อง คร่าวดอยสุเทพและคร่าวซอถนนในเมืองเชียงใหม่ ต้นฉบับจากใบลานจารด้วยอักษรธรรมล้านนา ประพันธ์โดยพญาพรหมโวหารระหว่างปี พ.ศ. 2420–30 เพื่อทูลถวายพระเจ้าอินทวิชยานนท์ และเจ้าทิพเกสร เป็นโคลงบรรยายเหตุการณ์ที่พญาพรหมโวหารได้รับความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ปรากฏในคำประพันธ์บทที่ ๒๙ ฉบับปริวรรตโดย บุญทา ศรีพิมพ์ชัย ว่า:-
๏ ไส้กรอกหมูหยอง ห้องพะโลซ้อน หลายเยืองตอน ของไทย
ของหวานอ่านนับ เยื่องอันเย็นใจ ทอดเลี้ยงภายใน ประสุมเวียกสร้าง
หนมโก๋ทองหยิบ ฝอยทองเขาห้าง การบัวบาน หนมครก
ส่วนเตากระทะที่ใช้ทำขนมครกเชื่อว่าเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[9] จากการติดต่อค้าขายกับชาวโปรตุเกส และริเริ่มการใช้ไข่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำขนมรวมทั้งยังคล้ายคลึงกับกระทะทำแพนเค้กพัฟสไตล์เดนมาร์ค (Aebelskiver)
ขนมครกแต่เดิมใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำ โม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ผสมเกลือเล็กน้อยใช้เป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกเป็นหัวกะทิ ขนมครกชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปอีก เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้นหอม
ประเภทของขนมครก
เกร็ดความรู้
ขนมครก ไม่เพียงแค่เป็นชื่อขนมเท่านั้นแต่ยังหมายถึงการละเล่นของเด็ก ๆ ผู้หญิงของชาวภาคใต้ของไทย ที่เรียกว่า เคว็กหนมครก(ควักหนมครก) เป็นการละเล่นบนลานดินในที่ร่ม วิธีการเล่น คือ ตักดินผสมกับน้ำพอหมาด ๆ คนให้เข้ากันแล้วใช้ช้อนขุดบนลานดินให้เป็นหลุมคล้ายถาด หรือรางขนมครก แล้วนำดินที่ผสมน้ำไว้มาหยอดลงหลุมที่ขุดไว้เกือบเต็ม ทิ้งไว้สักพักดินจะแห้งแล้วใช้ช้อนควักออกจากหลุมก็จะได้ขนมครกตามต้องการ
เป็นยังไงบ้างครับด้วยความรู้มากมายเลยนะครับเกี่ยวกับขนมครกขนมครกขนมไทยๆโบราณที่หากินได้ทั่วไปแต่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่น่าสนใจมากๆเลยนะครับหวังว่าจะรับบทความนี้จะมีประโยชน์มากพอสมควรนะครับ